วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

LA103(LW203)กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

ข้อ 1. (ก) ในกรณีแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาไปแล้ว ผู้แสดงเจตนาถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ตามหลักทั่วไป การแสดงเจตนานั้นมีผลในกฎหมายประการใด
(ข) นายสมบัติซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครส่งจดหมายโดยทางไปรษณีย์เสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานครให้แก่นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคาห้าล้านบาท หลังจากส่งจดหมายไปแล้ว 5 วัน นายสมบัติถูกศาลแพ่งสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ นายอาทิตย์ได้ทราบข่าวว่านายสมบัติถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว แต่อยากได้บ้านหลังนั้น นายอาทิตย์จึงเขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์สนองตอบตกลงซื้อบ้านส่งไปให้นายสมบัติ ณ ที่อยู่ของนายสมบัติ นางสมศรีซึ่งเป็นผู้อนุบาลของนายสมบัติได้รับจดหมายดังกล่าวไว้ ดังนี้ สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับนายอาทิตย์เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวคำตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคสอง บัญญัติว่า
“การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้น ผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ” (3 คะแนน)
อธิบาย หลักกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นหลักทั่วไปของผลในกฎหมายในกรณีแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาไปแล้ว หลังจากนั้นผู้แสดงเจตนา
(1) ตาย
(2) ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือ
(3) ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
กฎหมายบัญญัติไว้เป็นหลักทั่วไปว่าการแสดงเจตนานั้นไม่เสื่อมเสียไป ยังคงมีผลสมบูรณ์ (7 คะแนน)
(ข) หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 360 บัญญัติว่า
“บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสอง นั้น ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าหากว่า......ก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ” (3 คะแนน)
วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ ปรากฏว่าก่อนที่นายอาทิตย์จะทำคำสนองตอบตกลงซื้อบ้านของนายสมบัติ นายอาทิตย์ได้รู้อยู่แล้วว่านายสมบัติถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว กรณีต้องตามข้อยกเว้นใน ป.พ.พ. มาตรา 360 ซึ่งมิให้นำบทบัญญัติมาตรา 169 วรรคสอง มาใช้บังคับ จึงมีผลให้การแสดงเจตนาเสนอขายบ้านของนายสมบัติเป็นอันเสื่อมเสียไป
กรณีดังกล่าวนี้จึงไม่มีคำเสนอของนายสมบัติ มีแต่เพียงคำสนองของนายอาทิตย์ ถึงแม้นางสมศรี ผู้อนุบาลของนายสมบัติได้รับจดหมายคำสนองของนายอาทิตย์ไว้ สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับ นายอาทิตย์ก็ไม่เกิดขึ้น (12 คะแนน)
ข้อ 2. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2541 นาย ก. คนไร้ความสามารถได้ให้แหวนเพชรหนัก 1 กะรัตแก่นาย ข. หลังจากนั้นอีก 6 ปี นาย ก. หายจากอาการวิกลจริต ผู้อนุบาลได้ร้องขอและศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้นาย ก. เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว ตาม ป.พ.พ.มาตรา 31 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 นาย ก. จำได้ว่าตนได้ให้แหวนเพชรแก่นาย ข. ประสงค์จะบอกล้างโมฆียกรรมนี้ จึงมาปรึกษาให้ท่านแนะนำนาย ก. ให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 181 (5 คะแนน)
มาตรา 179 วรรค 2 “บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถจะให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมต่อเมื่อได้รู้เห็นซึ่งโมฆียกรรมนั้น ภายหลังที่บุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว...” (5 คะแนน)

วินิจฉัย กำหนดการบอกล้างโมฆียกรรม ตามมาตรา 181 นั้นจะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ ซึ่งกำหนดระยะเวลาดังกล่าวนั้น ในกรณีนาย ก.คนไร้ความสามารถคือวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่นาย ก. ได้รู้เห็น (จำได้ว่า) ซึ่งโมฆียกรรมนั้น หลังจากที่ศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้วเมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่านมาตามมาตรา 179 วรรค 2
แต่อย่างไรก็ตาม เวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้นั้นต้องไม่เกินกว่าเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น ซึ่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นวันที่ครบสิบปีพอดีดังกล่าว
ข้าพเจ้าจะแนะนำให้นาย ก. ต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถ้าเกินกว่านั้นจะพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำโมฆียกรรมขึ้น

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2548 นายเฉลิมได้ซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากร้านของนายเกษม จำนวน 3 เครื่อง เป็นเงิน 250,000 บาท โดยตกลงจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 10 มีนาคม 2548 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระ นายเกษมได้ทวงถามตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2550 ซึ่งเหลือเวลาอีก 9 วันจะครบกำหนดอายุความ 2 ปี นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลเรียกเงินค่าซื้อของเชื่อ ต่อมาวันที่ 7 มีนาคม 2550 นายเฉลิมได้ไปขอร้องให้นายเกษมถอนฟ้องและได้ทำหนังสือให้นายเกษมไว้ 1 ฉบับ มีใจความยอมรับว่าเป็นหนี้นายเกษมจริงและจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 10 เมษายน 2550 นายเกษมจึงไปถอนฟ้องคดีครั้นหนี้ถึงกำหนดนายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระให้ตามที่ตกลงกันไว้ นายเกษมจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 30 กันยายน 2551 นายเฉลิมต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว เพราะนายเกษมถอนฟ้องอายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายเฉลิมฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ “มาตรา 193/34 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความสองปี
(1) ผู้ประกอบการค้า....เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ”
แนวคำตอบ
หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 193/14 บัญญัติว่า “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้...
(2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดี...เพื่อให้ชำระหนี้
ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคแรก บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามมาตรา 193/14 (2) หากคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้อง...ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย ตามอุทาหรณ์ นายเฉลิมได้ซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากร้านของนายเกษมเป็นเงินจำนวน 250,000 บาท โดยตกลงจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 10 มีนาคม 2548 เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระ จนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2550 ซึ่งเหลือเวลาอีก 9 วัน จะครบกำหนดอายุความ 2 ปี นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลจึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) แต่ปรากฏว่าคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะนายเกษมไปถอนฟ้องคดีให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคแรก อายุความจึงนับต่อไป ในวันที่ 7 มีนาคม 2550 นายเกษมได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่นายเกษม 1 ฉบับจึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2550 และจะครบ 2 ปีในวันที่ 7 มีนาคม 2552 นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 30 กันยายน 2551 คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ

ดังนั้น นายเฉลิมต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว เพราะนายเกษมถอนฟ้องอายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมจึงฟังไม่ขึ้น

ข้อ 4. นายอู่ทองตกลงขายรถยนต์กระบะคันหนึ่งให้แก่นายพิชัย 800,000 บาท โดยนายพิชัยได้ชำระเงินค่ารถยนต์เป็นเงินสด จำนวน 200,000 บาท ในวันทำสัญญานายอู่ทองได้ส่งมอบรถยนต์กระบะคันดังกล่าวซึ่งตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้แก่นายพิชัยแล้ว แต่เนื่องจากรถยนต์กระบะของนายอู่ทองยังผ่อนชำระกับนายดุสิตไม่หมด นายอู่ทองจึงยังไมได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวจากนายดุสิตแต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกำหนดเงื่อนไขให้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังนายพิชัย จนกว่านายอู่ทองจะผ่อนชำระราคารถยนต์กับนายดุสิตจนหมด และได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะเรียบร้อยแล้ว ในระหว่างนั้นปรากฏว่า ได้เกิดเพลิงไหม้ในบริเวณชุมชนใกล้เคียงกับบ้านของนายพิชัย แล้วเพลิงได้ลุกลามมาไหม้บ้านของนายพิชัยเสียหายหมดทั้งหลัง รวมทั้งรถยนต์กระบะที่นายพิชัยได้รับมอบไว้ด้วย จนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวไม่สามารถใช้การได้เลย ดังนี้ นายอู่ทองจะมีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคารถยนต์กระบะส่วนที่เหลือให้แก่นายอูทองหรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 371 วรรคแรก
วินิจฉัย ตามอุทาหรณ์ การทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กระบะระหว่างนายอู่ทองและนายพิชัยเป็นการทำสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่นายพิชัยได้ครอบครองไว้ถูกไฟไหม้เสียหายหมดโดยไฟลุกลามมาจากชุมชนในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของนายพิชัยด้วยเหตุอันโทษใครไม่ได้ ก่อนที่นายอู่ทองจะผ่อนชำระราคารถยนต์กับนายดุสิตจนหมด และได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะเรียบร้อยแล้ว ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ทรัพย์นั้นสูญหรือถูกทำลายลงในระหว่างเงื่อนไขยังไม่สำเร็จ กรณีนี้จะนำบทบัญญัติของมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้ การสูญหรือเสียหายนั้นหาตกเป็นพับแก่นายพิชัยเจ้าหนี้ไม่ หากแต่นายอู่ทองลูกหนี้ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายต้องเป็นผู้รับผลแห่งภัยพิบัติเอง นายอู่ทองจึงหามีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคาค่ารถยนต์กระบะส่วนที่เหลืออยู่ได้ไม่ ตามมาตรา 371 วรรคแรก อีกทั้งกรณีนี้ไม่จำต้องอ้างมาตรา 372 ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนอื่นด้วย

********

ไม่มีความคิดเห็น: